วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การสอบของประเทศแคนนาดา

เนื่องจากแคนาดาเป็นประเทศที่มั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ มี ประชากรน้อย รัฐบาลจึงมีเงินสนับสนุนทางด้านการศึกษาค่อนข้างมาก รัฐบาลแคนาดาให้เงินอุดหนุนการศึกษาต่อประชากร สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก มาตรฐานการ ศึกษาของแคนาดาเป็นที่ยอมรับทั่วโลกทุกระดับ ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย
            ระบบการศึกษาของแคนาดาประกอบด้วย สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงระดับก่อนเข้าวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย การศึกษาในแคนาดาอยู่ในความรับผิดชอบของ กระทรวงศึกษาธิการของแต่ละมณฑล และเขตปกครองพิเศษ ดังนั้นระบบการศึกษาจึงมีความแตกต่างกัน แต่ด้วยการประสานความร่วมมือทางด้านวิชาการของคณาจารย์ และสถาบันต่างๆ รวมทั้งคณะกรรมการ พิจารณาจัดสรรงบประมาณ เพื่อการศึกษา ทำให้การศึกษาทั่วทั้งแคนาดามีมาตรฐานสูง ระดับเดียวกัน  
1.      ระบบการศึกษาของประเทศแคนาดา (Canada Education System)
            การศึกษาในแคนาดาจะอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของแต่ละมณฑลตามกฎหมายของแคนาดา ในแต่ละมณฑลจะมีระบบการศึกษาที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปแล้วนักเรียนชาวแคนาดาจะเข้าโรงเรียนอนุบาลเมื่อมีอายุครบ 4 – 5 ปี และใช้เวลาเรียน 1 – 2 ปี ทั้งนี้แล้วแต่สมัครใจ เมื่อมีอายุครบ 6 ปี จะต้องเข้าเรียนชั้นเกรด 1 โดยปกติโรงเรียนจะเริ่มปีการศึกษา ตั้งแต่ช่วงเดือน กันยายนถึงเดือนมิถุนายน โรงเรียนมัธยมศึกษาจะมีไปจนถึงเกรด 11, 12 หรือ (OAC) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับมณฑลนั้น ๆ เพื่อศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัย วิทยาลัยหรือCEGEP ของควิเบค ( Quebec)

ระดับประถมศึกษา

             ระบบการศึกษาเริ่มจากชั้นอนุบาลเช่นเดียวกับประเทศ อื่น ๆแต่ชั้นประถมศึกษาในแต่ละมณฑลจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้คือ 1. กลุ่มที่มีชั้นประถม1-8 คือ มณฑลออนตาริโอ และมณฑลมานิโตบา 2.กลุ่มที่มีชั้นประถม 1-7 คือ มณฑลบริติชโคลัมเบีย และเขตยูคอน 3. กลุ่มที่มีชั้นประถม 1- 6 คือทุกมณฑลนอกจากที่กล่าว มาแล้ว  



ระดับมัธยมศึกษา

            จำนวนการศึกษาระดับมัธยมจะแตกต่างกันไปในแต่ละมณฑล แต่เมื่อรวมการเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาแล้วจะรวมใช้เวลาเรียน 12 ปี ข้อยกเว้นคือ มณฑลควิเบคและมณฑลออนตาริโอ จะจัดระบบชั้นมัธยมเลยไปอีก 1 ปี รวมเวลา เรียน 13 ปี คล้ายๆ กับว่ามีมัธยม 7 แต่นักเรียนที่เรียนจบชั้น มัธยม 7 จะเรียนอีกปี ก็ได้รับปริญญาตรี ในขณะที่มณฑลและเขตการปกครองอื่นๆ หลักสูตรปริญญาตรีจะใช้เวลาเรียน 4 ปี ในมณฑลควิเบคยังมีระบบการศึกษาซึ่งอยู่กึ่งกลาง ระหว่างมัธยมและมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นระบบคล้ายของฝรั่งเศส ที่เรียกว่า เซเจ๊ฟ (Cegep) การศึกษาในระดับนี้จะรับผู้จบ มัธยมศึกษาปีที่ 5 เข้าเรียนวิชาชีพเป็นเวลา 2 ปี โรงเรียนมัธยมของแคนาดามีทั้งของรัฐบาลและของเอกชน ถ้าเป็นของเอกชนต้องได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ ของแต่ละมณฑล โรงเรียนรัฐส่วนใหญ่เป็นแบบสหศึกษา ส่วนของเอกชนนั้นมีทั้งแบบหญิงล้วน ชายล้วน หรือ สหศึกษา บางโรงเรียนเป็นโรงเรียนประจำ 

ระดับมหาวิทยาลัย

            มหาวิทยาลัยในแคนาดามีทั้งขนาดเล็กมีนักศึกษาไม่ถึง 1,000 คน ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่มีนักศึกษากว่า 35,000 คน การเข้าศึกษาถูกกำหนดโดยมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง โดยทั่วไปจะไม่มีการสอบเข้า แต่ละมหาวิทยาลัยมีมาตรฐานของตนเอง เนื่องจากแคนาดามีภาษาราชการ 2 ภาษาคือ ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส ผู้สอบเข้ามหาวิทยาลัยจะเลือกสอบได้ทั้งสถาบันที่ใช้ ภาษาอังกฤษและสถาบันที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส บางมหาวิทยาลัย สอนทั้ง 2 ภาษา แต่นักศึกษารู้ภาษาเดียวก็เพียงพอ 
            สำหรับความสามารถในการใช้ภาษาของนักศึกษาต่างชาติ นั้น มหาวิทยาลัยทั่วไป(ยกเว้นที่สอนเป็นภาษาฝรั่งเศส) ใช้คะแนน TOEFL หรือ IELTS โดยต้องได้คะแนน TOEFL อย่างต่ำ 550 มีมหาวิทยาลัยจำนวนมากที่กำหนดคะแนนไว้ที่ 600 ขึ้นอยู่กับ สาขาวิชาที่จะเรียน 

การศึกษากึ่งวิชาชีพ (Community College หรือ Career College) 

            เป็นการศึกษาที่ใช้เวลาเรียน 1-3 ปี มุ่งเน้นผลิตนักศึกษา เพื่อออกสู่ตลาดแรงงานให้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ วิชา ที่เปิดสอนจึงมีการปรับหลักสูตรตลอดเวลาให้สอดคล้องตาม นโยบายเศรษฐกิจของชาติและกระแสตลาดแรงงาน 




การศึกษาภาคปฎิบัติ (Co-op Education)
           
            คือการศึกษาที่สถาบันการศึกษาร่วมมือกับภาคธุรกิจ เปิด โอกาสให้นักศึกษาได้ปฏิบัติงานจริง โดยจะได้รับค่าจ้าง โดยทั่วไป นักศึกษาจะฝึกงานประมาณ 2 ภาคเรียน ก่อนที่จะสำเร็จ การศึกษา  
          ปีการศึกษา ในแคนาดามีกำหนดภาคเรียนแตกต่างกันออกไปดังนี้
Fall Semester เปิดประมาณกันยายน-ธันวาคม
Spring Semester เปิดประมาณมกราคม-เมษายน
Summer Session เปิดประมาณพฤษภาคม-สิงหาคม

2.      ระยะเวลาของการศึกษาในแต่ละหลักสูตร

หลักสูตรระดับปริญญาตรี (Bachelor’s degree)
            โดยปกติจะใช้เวลาในการเรียนประมาณ 3 – 5 ปี ในแคนาดาจะมีหลักสูตรปริญญาตรีอยู่ 2 ประเภทคือ General Pass Degrees และ Honours Degree ในหลักสูตร Honours Degrees นี้ นักศึกษาจะต้องเรียนเพื่อ ให้มีหน่วยกิตมากกว่าหลักสูตรสอบ General Pass Degrees และจะต้องเขียนวิทยานิพนธ์ด้วย หากนักศึกษาคิดจะศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ควรเรียนในหลักสูตรประเภท Honours Degreesในมหาวิทยาลัยบางแห่ง
การเรียนหลักสูตรปริญญาตรีประเภท Pass Degrees ใช้เวลาเพียง 3 ปีและหลักสูตรปริญญาตรีประเภท Honours ใช้เวลาในการศึกษา 4 ปีแต่ในมหาวิทยาลัยบางแห่งหลักสูตรทั้ง 2 ประเภทจะใช้เวลาในการศึกษามากกว่า 5 ปี จะเป็นหลักสูตรวิชาชีพ ซึ่งจะต้องมีการฝึกงาน โดยการร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่นักศึกษาจะไปฝึกงาน สำหรับหลักสูตรที่จำเป็นต้องฝึกงาน คือ หลักสูตรบัญชี สถาปัตยกรรมศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์
หลักสูตรปริญญาโท (Master’s degree)
            1 ปีครึ่ง – 2 ปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถาบันและขึ้นอยู่กับว่านักศึกษาจะต้องเรียนวิชาพื้นฐานของแต่ละหลักสูตรและต้อง สอบ Comprehensive Examination (สอบประมวลความรู้) หรืออาจต้องทำวิจัยหรือเขียนรายงานวิทยานิพนธ์หรืออาจทั้งเรียนวิชาพื้นฐานของแต่ละหลักสูตร พร้อมทั้งเขียนวิทยานิพนธ์ด้วยก็ได้ และงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์นี้สามารถนำไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกได้ด้วย 
หลักสูตรปริญญาเอก (Doctoral หรือ Ph.D. Degree)
            ใช้เวลาในการศึกษา อย่างน้อย 2 ปี หลังปริญญาโท หรือ 3 ปีหลังปริญญาตรี แต่อย่างไรก็ตาม นักศึกษาต้อง ใช้เวลาเฉลี่ยอย่างน้อย 3 ถึง 5 ปี หลังจากจบปริญญาโท หลักสูตรปริญญาเอกนี้ จะประกอบด้วยวิชาพื้นฐาน การร่วมสัมมนาทางวิชาการ การค้นคว้างานวิจัย การเขียนรายงานวิชาการ การนำเสนอ และการเขียนวิทยานิพนธ์ เป็นต้น 

3.      การให้คะแนน
            มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีวิธีการประเมินผลและระบบการให้คะแนนเป็นของตัวเอง ซึ่งมักกำหนดไว้ในรายละเอียดในคู่มือนักศึกษาของมหาวิทยาลัยหรือปฏิทินของมหาวิทยาลัย  โดยทั่วไป การให้คะแนนที่มหาวิทยาลัยแคนาดาจะใช้ระบบตัวอักษร (คือ A+, A, A-, B+, B,. B-; C+, C, C-; D+, D, F) ซึ่งแต่ละตัวอักษรจะเทียบเท่ากับระดับต่างๆ (เช่น ดีเยี่ยม ดี ปานกลาง อ่อน) รวมทั้งการให้คะแนนเป็นร้อยละ และคะแนนเฉลี่ย ตัวอย่างเช่น คะแนนที่ให้เป็นตัวอักษร “A” อาจแทนตัวเลขคะแนน 90-95% และคะแนนเฉลี่ย 3.7 จากคะแนน 4 ระดับ


4.      การสมัครเข้าศึกษา
            การเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของแคนาดา นักศึกษาควรศึกษารายละเอียดของแต่ละสถาบัน และต้องเตรียมเอกสาร ที่ทางสถาบันกำหนดให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนนำส่งสำนักงานนายทะเบียนที่จะศึกษา หากเอกสารไม่ครบถ้วนทางเจ้าหน้าที่ อาจส่งเอกสารคืน ทำให้การสมัครล่าช้า สถานศึกษาในประเทศ แคนาดาค่อนข้างเข้มงวดและจะไม่พิจารณาใบสมัครของนักศึกษา จนกว่าจะได้เอกสารทุกอย่างครบ ถ้าไม่สามารถนำส่งเอกสารได้ ครบถ้วนนักศึกษาควรแนบใบสมัครแจ้งเหตุผลให้ทางสถาบันทราบ และกำหนดวันที่จะยื่นเอกสารที่ยังขาด 
            โดยทั่วไปแคนาดายินดีต้อนรับนักศึกษาต่างชาติ แต่เนื่อง ด้วยสถาบันแต่ละแห่งได้รับเงินสนับสนุนค่อนข้างมากจากรัฐบาล จึงมีการจำกัดจำนวนนักเรียนต่างชาติไว้ที่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นนักศึกษาควรสมัครเรียนมากกว่าหนึ่งแห่งเพื่อเพิ่มโอกาส ในการได้รับการตอบรับ 
            การเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโท นักศึกษาควรสมัครเข้าเรียนหลักสูตรUniversity Transfer Program ในวิทยาลัยก่อน ใช้เวลาเรียน 2 ปี ทำคะแนนให้ดี แล้วโอนหน่วยกิตเข้ามหาวิทยาลัย หลังเรียนต่ออีก 2 ปี จะได้ปริญญา ซึ่งง่ายกว่าการสมัครตรงเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการสมัครยากกว่า สำหรับปริญญาโทนักศึกษาที่มีคะแนนภาษาอังกฤษและผลการเรียนดี สามารถสมัครเรียนโดยตรง ในกรณีที่ได้คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้ นักศึกษาสามารถ เข้าเรียนภาษาในมหาวิทยาลัยที่ต้องการเรียนก่อน ทำคะแนน TOEFL ให้ได้ 550 ถึง 600 และพยายามหาโอกาสทำความรู้จักกับอาจารย์ อาจจะช่วยให้การสมัครในการเข้าศึกษาง่ายขึ้น การทดสอบภาษาอังกฤษ CAEL test ของประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นที่ยอมรับกว่า 90% ของมหาวิทยาลัยในแคนาดา และเมื่อสอบ CAEL test แล้ว ไม่ต้องสอบ TOEFL และ IELTS เพื่อวัดผลภาษาอังกฤษ

5.      ความรู้เกี่ยวกับการสอบในแคนนาดา

ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อต่างประเทศ เรียนนอก เรียนต่ออังกฤษ เรียนต่ออเมริกา เรียนต่อนิวซีแลนด์ เรียนต่อแคนาดา Study Overseas
ความรู้เกี่ยวกับการสอบ SAT
            SAT หรือ Scholastic aptitude Test I และ SAT II หรือ Scholastic aptitude Test II ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่า Achievement Test หรือ Act เป็นข้อสอบที่ใช้วัดระดับความรู้ ความสามารถของนักศึกษาที่ต้องการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีใน มหาวิทยาลัยต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และแคนาดาและบางมหาวิทยาลัยที่สอนหลักสูตรนานาชาติในเมืองไทย

          ข้อสอบ SAT แบ่งออกเป็น 7 section เวลาในการสอบ 3 ชั่วโมง โดยจัดแบ่งข้อสอบดังนี้
1.                   SAT Verbal : มี 3 ส่วน ซึ่งทดสอบในเรื่องของ Reading , Grammar และ Analytical Reasoning โดยมีรูปแบบของคำถามเป็น Analogies,Sentence Completion และ Critical Reading ระยะเวลาของการสอบคือ 1 ชั่วโมง 15 นาที
2.                   SAT Math : มี 3 ส่วนเช่นกัน ซึ่งทดสอบในเรื่องของ Algebra, Arithmetic และ Geometry โดยมีรูปแบบของคำถามแบบ QuantitativeComparisons (QCs), Regular Math และ Grid-ins ระยะเวลาของการสอบคือ 1 ชั่วโมง 15 นาที
3.                   Experimental : การสอบใน 1 section ที่เหลือนี้ จะเป็นเรื่องของบททดสอบ ซึ่งอาจเป็นทางด้านของVerbal หรือ Math และใช้เป็นข้อมูลภายในของ ETS เท่านั้น คะแนนในส่วนนี้ จะไม่นำมารวมกับคะแนนในส่วนอื่นๆ

 
ศึกษาต่อต่างประเทศ เรียนต่อต่างประเทศ เรียนนอก เรียนต่ออังกฤษ เรียนต่ออเมริกา เรียนต่อนิวซีแลนด์ เรียนต่อแคนาดา Study Overseas


ความรู้เกี่ยวกับการสอบ ACT

            ACT หรือ American College Testing เป็นการสอบวัดระดับทักษะการใช้เหตุผลและการสื่อสารที่จำเป็นสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย ข้อสอบ ACT เป็นแบบทดสอบมาตรฐานสำหรับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย (High School) ในประเทศสหรัฐอเมริกามักจะต้องสอบเพื่อนำผลคะแนนไปสมัครเรียนในระดับมหาวิทยาลัยต่อไป

          ข้อสอบ ACT มีคะแนนเต็มทั้งสิ้น 36 คะแนน จากการสอบทั้งหมด 5 ส่วนดังต่อไปนี้
1.              English (75 ข้อ 45 นาที) ลักษณะการสอบจะเป็นการวัดทักษะทาง Grammar
2.               Mathematics (60 ข้อ 60 นาที) ประกอบไปด้วยเนื้อหา Algebra, Geometry และ Trigonometry โดยผู้สอบสามารถใช้เครื่องคิดเลขได้
3.              Reading (40 ข้อ 35 นาที) ประกอบไปด้วย 4 Passage ในเรื่องต่อไปนี้:Prose Fiction (เรื่องสั้นหรือนวนิยาย), Social Science (ประวัติศาสตร์, เศรษฐศาสตร์, จิตวิทยา เป็นต้น), Humanities (ศิลปะ, ดนตรี, การออกแบบ เป็นต้น), Natural Science (Physics, Chemistry, Biology เป็นต้น)
4.              Science Reasoning (40 ข้อ 35 นาที) ประกอบไปด้วย 7 Passage โดยแต่ละ Passage จะมีคำถาม 5-7 คำถาม
5.              Writing (30 นาที) โดยคะแนนในส่วนนี้จะมีผลต่อคะแนน English เท่านั้น หากผู้สอบทำคะแนนในส่วนนี้ได้น้อยจะส่งผลให้คะแนน English ต่ำลงไป

          ข้อสอบ ACT ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงของ SAT 
            มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกามักจะยินดีรับผลสอบทั้งสอง ขึ้นอยู่กับว่านักเรียนจะเลือกใช้ผลตัวไหนยื่นสมัครเรียน

ดาวน์โหลด.jpg

ความรู้เกี่ยวกับการสอบ CAEL

            ปัจจุบันประเทศไทยได้มีการนำระบบการสอบ CAEL test หรือ Canadian Academic English Language Assessment คือการสอบวัดทักษะทางภาษามาใช้ทำการทดสอบภาษาอังกฤษ สำหรับการศึกษาต่อในแคนาดาแล้ว การสอบ Cael Test นี้เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษสำหรับการศึกษาต่อในแคนาดา ระดับอุดมศึกษาปริญญาตรี/โท/เอก และอนุปริญญา/วุฒิบัตร/ประกาศนียบัตร รวมทั้งสำหรับผู้ต้องการทดสอบพื้นฐานภาษาอังกฤษเพื่อไปเรียนต่อที่แคนาดา โดยไม่ต้องสอบ TOEFL หรือ Ielts อีก การสอบ Cael Test นี้รับรองโดยสถาบันการศึกษา และมหาวิทยาลัยระดับท็อปเท็นกว่า 100 แห่งในแคนาดา

          ลักษณะข้อสอบ และการวัดผล

            การสอบนี้ จะเป็นการจำลองบรรยากาศให้เหมือนกับเวลาที่นักศึกษาเข้าไปฟังเลคเชอร์ในชั้นเรียน ที่มหาวิทยาลัยในแคนาดา เพื่อดูว่าผู้สอบสามารถทำความเข้าใจได้มากน้อยเพียงใด เมื่อต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับการไปศึกษาจริงๆ โดยไม่มีการเน้นเรื่องของ Grammar มากนัก ทำให้การสอบนี้ไม่ยากจนเกินไป ซึ่งการสอบ CAEL test นี้ได้รับการรับรองจากสถาบันการศึกษา และมหาวิทยาลัยระดับท็อปฮิตกว่า 100 แห่งในแคนาดา ส่วนคะแนนที่สอบ จะตัดที่ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือเทียบได้กับ 550 คะแนนของการสอบ TOEFL หรือ 6.5 คะแนนของการสอบ IELTS

หาข้อมูเพิ่มเติมได้ที่


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น