เนื่องจากแคนาดาเป็นประเทศที่มั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ มี ประชากรน้อย รัฐบาลจึงมีเงินสนับสนุนทางด้านการศึกษาค่อนข้างมาก รัฐบาลแคนาดาให้เงินอุดหนุนการศึกษาต่อประชากร สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก
มาตรฐานการ ศึกษาของแคนาดาเป็นที่ยอมรับทั่วโลกทุกระดับ ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย
ระบบการศึกษาของแคนาดาประกอบด้วย สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงระดับก่อนเข้าวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย การศึกษาในแคนาดาอยู่ในความรับผิดชอบของ กระทรวงศึกษาธิการของแต่ละมณฑล และเขตปกครองพิเศษ ดังนั้นระบบการศึกษาจึงมีความแตกต่างกัน แต่ด้วยการประสานความร่วมมือทางด้านวิชาการของคณาจารย์ และสถาบันต่างๆ รวมทั้งคณะกรรมการ พิจารณาจัดสรรงบประมาณ เพื่อการศึกษา ทำให้การศึกษาทั่วทั้งแคนาดามีมาตรฐานสูง ระดับเดียวกัน
1.
ระบบการศึกษาของประเทศแคนาดา
(Canada Education System)
การศึกษาในแคนาดาจะอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของแต่ละมณฑลตามกฎหมายของแคนาดา
ในแต่ละมณฑลจะมีระบบการศึกษาที่แตกต่างกันไป
โดยทั่วไปแล้วนักเรียนชาวแคนาดาจะเข้าโรงเรียนอนุบาลเมื่อมีอายุครบ 4 – 5 ปี และใช้เวลาเรียน 1 – 2 ปี ทั้งนี้แล้วแต่สมัครใจ
เมื่อมีอายุครบ 6 ปี จะต้องเข้าเรียนชั้นเกรด 1 โดยปกติโรงเรียนจะเริ่มปีการศึกษา ตั้งแต่ช่วงเดือน
กันยายนถึงเดือนมิถุนายน โรงเรียนมัธยมศึกษาจะมีไปจนถึงเกรด 11, 12 หรือ (OAC) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับมณฑลนั้น ๆ
เพื่อศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัย วิทยาลัยหรือCEGEP ของควิเบค ( Quebec)
ระดับประถมศึกษา
ระบบการศึกษาเริ่มจากชั้นอนุบาลเช่นเดียวกับประเทศ อื่น ๆแต่ชั้นประถมศึกษาในแต่ละมณฑลจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้คือ 1. กลุ่มที่มีชั้นประถม1-8 คือ มณฑลออนตาริโอ และมณฑลมานิโตบา 2.กลุ่มที่มีชั้นประถม 1-7 คือ มณฑลบริติชโคลัมเบีย และเขตยูคอน 3. กลุ่มที่มีชั้นประถม 1-
6 คือทุกมณฑลนอกจากที่กล่าว มาแล้ว
ระดับมัธยมศึกษา
จำนวนการศึกษาระดับมัธยมจะแตกต่างกันไปในแต่ละมณฑล แต่เมื่อรวมการเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาแล้วจะรวมใช้เวลาเรียน 12 ปี ข้อยกเว้นคือ มณฑลควิเบคและมณฑลออนตาริโอ
จะจัดระบบชั้นมัธยมเลยไปอีก 1 ปี รวมเวลา เรียน 13 ปี คล้ายๆ กับว่ามีมัธยม 7 แต่นักเรียนที่เรียนจบชั้น มัธยม 7 จะเรียนอีก3 ปี ก็ได้รับปริญญาตรี ในขณะที่มณฑลและเขตการปกครองอื่นๆ หลักสูตรปริญญาตรีจะใช้เวลาเรียน 4 ปี ในมณฑลควิเบคยังมีระบบการศึกษาซึ่งอยู่กึ่งกลาง
ระหว่างมัธยมและมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นระบบคล้ายของฝรั่งเศส
ที่เรียกว่า เซเจ๊ฟ (Cegep) การศึกษาในระดับนี้จะรับผู้จบ
มัธยมศึกษาปีที่ 5 เข้าเรียนวิชาชีพเป็นเวลา 2 ปี โรงเรียนมัธยมของแคนาดามีทั้งของรัฐบาลและของเอกชน ถ้าเป็นของเอกชนต้องได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ ของแต่ละมณฑล โรงเรียนรัฐส่วนใหญ่เป็นแบบสหศึกษา ส่วนของเอกชนนั้นมีทั้งแบบหญิงล้วน
ชายล้วน หรือ สหศึกษา บางโรงเรียนเป็นโรงเรียนประจำ
ระดับมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยในแคนาดามีทั้งขนาดเล็กมีนักศึกษาไม่ถึง 1,000 คน ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่มีนักศึกษากว่า 35,000 คน การเข้าศึกษาถูกกำหนดโดยมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง
โดยทั่วไปจะไม่มีการสอบเข้า แต่ละมหาวิทยาลัยมีมาตรฐานของตนเอง
เนื่องจากแคนาดามีภาษาราชการ 2 ภาษาคือ ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส
ผู้สอบเข้ามหาวิทยาลัยจะเลือกสอบได้ทั้งสถาบันที่ใช้ ภาษาอังกฤษและสถาบันที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส
บางมหาวิทยาลัย สอนทั้ง 2 ภาษา แต่นักศึกษารู้ภาษาเดียวก็เพียงพอ
สำหรับความสามารถในการใช้ภาษาของนักศึกษาต่างชาติ
นั้น มหาวิทยาลัยทั่วไป(ยกเว้นที่สอนเป็นภาษาฝรั่งเศส) ใช้คะแนน TOEFL หรือ IELTS โดยต้องได้คะแนน TOEFL อย่างต่ำ 550 มีมหาวิทยาลัยจำนวนมากที่กำหนดคะแนนไว้ที่ 600 ขึ้นอยู่กับ สาขาวิชาที่จะเรียน
การศึกษากึ่งวิชาชีพ (Community
College หรือ Career College)
เป็นการศึกษาที่ใช้เวลาเรียน 1-3 ปี
มุ่งเน้นผลิตนักศึกษา เพื่อออกสู่ตลาดแรงงานให้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ
วิชา ที่เปิดสอนจึงมีการปรับหลักสูตรตลอดเวลาให้สอดคล้องตาม นโยบายเศรษฐกิจของชาติและกระแสตลาดแรงงาน
การศึกษาภาคปฎิบัติ (Co-op
Education)
คือการศึกษาที่สถาบันการศึกษาร่วมมือกับภาคธุรกิจ
เปิด โอกาสให้นักศึกษาได้ปฏิบัติงานจริง
โดยจะได้รับค่าจ้าง โดยทั่วไป นักศึกษาจะฝึกงานประมาณ 2 ภาคเรียน ก่อนที่จะสำเร็จ การศึกษา
ปีการศึกษา ในแคนาดามีกำหนดภาคเรียนแตกต่างกันออกไปดังนี้
Fall Semester
เปิดประมาณกันยายน-ธันวาคม
Spring Semester เปิดประมาณมกราคม-เมษายน
Summer Session เปิดประมาณพฤษภาคม-สิงหาคม
Spring Semester เปิดประมาณมกราคม-เมษายน
Summer Session เปิดประมาณพฤษภาคม-สิงหาคม
2.
ระยะเวลาของการศึกษาในแต่ละหลักสูตร
หลักสูตรระดับปริญญาตรี (Bachelor’s degree)
โดยปกติจะใช้เวลาในการเรียนประมาณ
3 – 5 ปี
ในแคนาดาจะมีหลักสูตรปริญญาตรีอยู่ 2 ประเภทคือ General
Pass Degrees และ Honours Degree ในหลักสูตร Honours
Degrees นี้ นักศึกษาจะต้องเรียนเพื่อ
ให้มีหน่วยกิตมากกว่าหลักสูตรสอบ General Pass Degrees และจะต้องเขียนวิทยานิพนธ์ด้วย
หากนักศึกษาคิดจะศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ควรเรียนในหลักสูตรประเภท Honours
Degreesในมหาวิทยาลัยบางแห่ง
การเรียนหลักสูตรปริญญาตรีประเภท Pass Degrees ใช้เวลาเพียง 3 ปีและหลักสูตรปริญญาตรีประเภท Honours ใช้เวลาในการศึกษา 4 ปีแต่ในมหาวิทยาลัยบางแห่งหลักสูตรทั้ง 2 ประเภทจะใช้เวลาในการศึกษามากกว่า 5 ปี จะเป็นหลักสูตรวิชาชีพ ซึ่งจะต้องมีการฝึกงาน โดยการร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่นักศึกษาจะไปฝึกงาน สำหรับหลักสูตรที่จำเป็นต้องฝึกงาน คือ หลักสูตรบัญชี สถาปัตยกรรมศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์
การเรียนหลักสูตรปริญญาตรีประเภท Pass Degrees ใช้เวลาเพียง 3 ปีและหลักสูตรปริญญาตรีประเภท Honours ใช้เวลาในการศึกษา 4 ปีแต่ในมหาวิทยาลัยบางแห่งหลักสูตรทั้ง 2 ประเภทจะใช้เวลาในการศึกษามากกว่า 5 ปี จะเป็นหลักสูตรวิชาชีพ ซึ่งจะต้องมีการฝึกงาน โดยการร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่นักศึกษาจะไปฝึกงาน สำหรับหลักสูตรที่จำเป็นต้องฝึกงาน คือ หลักสูตรบัญชี สถาปัตยกรรมศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์
หลักสูตรปริญญาโท (Master’s degree)
1 ปีครึ่ง – 2 ปี
ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับสถาบันและขึ้นอยู่กับว่านักศึกษาจะต้องเรียนวิชาพื้นฐานของแต่ละหลักสูตรและต้อง
สอบ Comprehensive Examination (สอบประมวลความรู้)
หรืออาจต้องทำวิจัยหรือเขียนรายงานวิทยานิพนธ์หรืออาจทั้งเรียนวิชาพื้นฐานของแต่ละหลักสูตร
พร้อมทั้งเขียนวิทยานิพนธ์ด้วยก็ได้
และงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์นี้สามารถนำไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกได้ด้วย
หลักสูตรปริญญาเอก (Doctoral หรือ Ph.D. Degree)
ใช้เวลาในการศึกษา
อย่างน้อย 2 ปี หลังปริญญาโท หรือ 3 ปีหลังปริญญาตรี แต่อย่างไรก็ตาม นักศึกษาต้อง ใช้เวลาเฉลี่ยอย่างน้อย 3
ถึง 5 ปี หลังจากจบปริญญาโท
หลักสูตรปริญญาเอกนี้ จะประกอบด้วยวิชาพื้นฐาน การร่วมสัมมนาทางวิชาการ
การค้นคว้างานวิจัย การเขียนรายงานวิชาการ การนำเสนอ และการเขียนวิทยานิพนธ์
เป็นต้น
3.
การให้คะแนน
มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีวิธีการประเมินผลและระบบการให้คะแนนเป็นของตัวเอง
ซึ่งมักกำหนดไว้ในรายละเอียดในคู่มือนักศึกษาของมหาวิทยาลัยหรือปฏิทินของมหาวิทยาลัย
โดยทั่วไป การให้คะแนนที่มหาวิทยาลัยแคนาดาจะใช้ระบบตัวอักษร (คือ A+, A, A-,
B+, B,. B-; C+, C, C-; D+, D, F) ซึ่งแต่ละตัวอักษรจะเทียบเท่ากับระดับต่างๆ
(เช่น ดีเยี่ยม ดี ปานกลาง อ่อน) รวมทั้งการให้คะแนนเป็นร้อยละ และคะแนนเฉลี่ย
ตัวอย่างเช่น คะแนนที่ให้เป็นตัวอักษร “A” อาจแทนตัวเลขคะแนน
90-95% และคะแนนเฉลี่ย 3.7 จากคะแนน 4
ระดับ
4.
การสมัครเข้าศึกษา
การเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของแคนาดา นักศึกษาควรศึกษารายละเอียดของแต่ละสถาบัน
และต้องเตรียมเอกสาร ที่ทางสถาบันกำหนดให้ครบถ้วนสมบูรณ์
ก่อนนำส่งสำนักงานนายทะเบียนที่จะศึกษา หากเอกสารไม่ครบถ้วนทางเจ้าหน้าที่
อาจส่งเอกสารคืน ทำให้การสมัครล่าช้า สถานศึกษาในประเทศ
แคนาดาค่อนข้างเข้มงวดและจะไม่พิจารณาใบสมัครของนักศึกษา จนกว่าจะได้เอกสารทุกอย่างครบ ถ้าไม่สามารถนำส่งเอกสารได้ ครบถ้วนนักศึกษาควรแนบใบสมัครแจ้งเหตุผลให้ทางสถาบันทราบ และกำหนดวันที่จะยื่นเอกสารที่ยังขาด
โดยทั่วไปแคนาดายินดีต้อนรับนักศึกษาต่างชาติ แต่เนื่อง ด้วยสถาบันแต่ละแห่งได้รับเงินสนับสนุนค่อนข้างมากจากรัฐบาล จึงมีการจำกัดจำนวนนักเรียนต่างชาติไว้ที่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นนักศึกษาควรสมัครเรียนมากกว่าหนึ่งแห่งเพื่อเพิ่มโอกาส
ในการได้รับการตอบรับ
การเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโท
นักศึกษาควรสมัครเข้าเรียนหลักสูตรUniversity
Transfer Program ในวิทยาลัยก่อน ใช้เวลาเรียน 2 ปี ทำคะแนนให้ดี แล้วโอนหน่วยกิตเข้ามหาวิทยาลัย
หลังเรียนต่ออีก 2 ปี จะได้ปริญญา ซึ่งง่ายกว่าการสมัครตรงเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการสมัครยากกว่า สำหรับปริญญาโทนักศึกษาที่มีคะแนนภาษาอังกฤษและผลการเรียนดี
สามารถสมัครเรียนโดยตรง ในกรณีที่ได้คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้
นักศึกษาสามารถ เข้าเรียนภาษาในมหาวิทยาลัยที่ต้องการเรียนก่อน
ทำคะแนน TOEFL ให้ได้ 550 ถึง 600 และพยายามหาโอกาสทำความรู้จักกับอาจารย์ อาจจะช่วยให้การสมัครในการเข้าศึกษาง่ายขึ้น การทดสอบภาษาอังกฤษ
CAEL test ของประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นที่ยอมรับกว่า 90%
ของมหาวิทยาลัยในแคนาดา และเมื่อสอบ CAEL test แล้ว ไม่ต้องสอบ TOEFL และ IELTS เพื่อวัดผลภาษาอังกฤษ
5.
ความรู้เกี่ยวกับการสอบในแคนนาดา
ความรู้เกี่ยวกับการสอบ SAT
SAT หรือ Scholastic
aptitude Test I และ SAT II หรือ Scholastic
aptitude Test II ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่า Achievement Test หรือ Act เป็นข้อสอบที่ใช้วัดระดับความรู้ ความสามารถของนักศึกษาที่ต้องการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีใน
มหาวิทยาลัยต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
และแคนาดาและบางมหาวิทยาลัยที่สอนหลักสูตรนานาชาติในเมืองไทย
ข้อสอบ SAT แบ่งออกเป็น 7 section เวลาในการสอบ 3 ชั่วโมง โดยจัดแบ่งข้อสอบดังนี้
1.
SAT Verbal : มี 3 ส่วน
ซึ่งทดสอบในเรื่องของ Reading , Grammar และ Analytical
Reasoning โดยมีรูปแบบของคำถามเป็น Analogies,Sentence
Completion และ Critical Reading ระยะเวลาของการสอบคือ
1 ชั่วโมง 15 นาที
2.
SAT Math : มี 3 ส่วนเช่นกัน
ซึ่งทดสอบในเรื่องของ Algebra, Arithmetic และ Geometry
โดยมีรูปแบบของคำถามแบบ QuantitativeComparisons (QCs),
Regular Math และ Grid-ins ระยะเวลาของการสอบคือ
1 ชั่วโมง 15 นาที
3.
Experimental : การสอบใน 1 section ที่เหลือนี้ จะเป็นเรื่องของบททดสอบ ซึ่งอาจเป็นทางด้านของVerbal หรือ Math และใช้เป็นข้อมูลภายในของ ETS เท่านั้น คะแนนในส่วนนี้ จะไม่นำมารวมกับคะแนนในส่วนอื่นๆ
ความรู้เกี่ยวกับการสอบ ACT
ACT หรือ American
College Testing เป็นการสอบวัดระดับทักษะการใช้เหตุผลและการสื่อสารที่จำเป็นสำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย
ข้อสอบ ACT เป็นแบบทดสอบมาตรฐานสำหรับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา
ตอนปลาย (High School) ในประเทศสหรัฐอเมริกามักจะต้องสอบเพื่อนำผลคะแนนไปสมัครเรียนในระดับมหาวิทยาลัยต่อไป
ข้อสอบ ACT มีคะแนนเต็มทั้งสิ้น 36 คะแนน จากการสอบทั้งหมด 5
ส่วนดังต่อไปนี้
1.
English (75 ข้อ 45 นาที)
ลักษณะการสอบจะเป็นการวัดทักษะทาง Grammar
2.
Mathematics (60 ข้อ 60 นาที) ประกอบไปด้วยเนื้อหา Algebra,
Geometry และ Trigonometry โดยผู้สอบสามารถใช้เครื่องคิดเลขได้
3.
Reading (40 ข้อ 35 นาที)
ประกอบไปด้วย 4 Passage ในเรื่องต่อไปนี้:Prose
Fiction (เรื่องสั้นหรือนวนิยาย), Social Science (ประวัติศาสตร์, เศรษฐศาสตร์, จิตวิทยา
เป็นต้น), Humanities (ศิลปะ, ดนตรี,
การออกแบบ เป็นต้น), Natural Science (Physics,
Chemistry, Biology เป็นต้น)
4.
Science Reasoning (40 ข้อ 35 นาที)
ประกอบไปด้วย 7 Passage โดยแต่ละ Passage จะมีคำถาม 5-7 คำถาม
5.
Writing (30 นาที) โดยคะแนนในส่วนนี้จะมีผลต่อคะแนน English
เท่านั้น หากผู้สอบทำคะแนนในส่วนนี้ได้น้อยจะส่งผลให้คะแนน English
ต่ำลงไป
ข้อสอบ ACT ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงของ SAT
มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกามักจะยินดีรับผลสอบทั้งสอง ขึ้นอยู่กับว่านักเรียนจะเลือกใช้ผลตัวไหนยื่นสมัครเรียน
มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกามักจะยินดีรับผลสอบทั้งสอง ขึ้นอยู่กับว่านักเรียนจะเลือกใช้ผลตัวไหนยื่นสมัครเรียน
ความรู้เกี่ยวกับการสอบ CAEL
ปัจจุบันประเทศไทยได้มีการนำระบบการสอบ
CAEL test หรือ Canadian Academic English Language Assessment คือการสอบวัดทักษะทางภาษามาใช้ทำการทดสอบภาษาอังกฤษ
สำหรับการศึกษาต่อในแคนาดาแล้ว การสอบ Cael Test นี้เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษสำหรับการศึกษาต่อในแคนาดา
ระดับอุดมศึกษาปริญญาตรี/โท/เอก และอนุปริญญา/วุฒิบัตร/ประกาศนียบัตร
รวมทั้งสำหรับผู้ต้องการทดสอบพื้นฐานภาษาอังกฤษเพื่อไปเรียนต่อที่แคนาดา
โดยไม่ต้องสอบ TOEFL หรือ Ielts อีก
การสอบ Cael Test นี้รับรองโดยสถาบันการศึกษา
และมหาวิทยาลัยระดับท็อปเท็นกว่า 100 แห่งในแคนาดา
ลักษณะข้อสอบ
และการวัดผล
การสอบนี้
จะเป็นการจำลองบรรยากาศให้เหมือนกับเวลาที่นักศึกษาเข้าไปฟังเลคเชอร์ในชั้นเรียน
ที่มหาวิทยาลัยในแคนาดา เพื่อดูว่าผู้สอบสามารถทำความเข้าใจได้มากน้อยเพียงใด
เมื่อต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับการไปศึกษาจริงๆ
โดยไม่มีการเน้นเรื่องของ Grammar มากนัก ทำให้การสอบนี้ไม่ยากจนเกินไป ซึ่งการสอบ CAEL test นี้ได้รับการรับรองจากสถาบันการศึกษา และมหาวิทยาลัยระดับท็อปฮิตกว่า 100
แห่งในแคนาดา ส่วนคะแนนที่สอบ จะตัดที่ 70 เปอร์เซ็นต์
หรือเทียบได้กับ 550 คะแนนของการสอบ TOEFL หรือ 6.5 คะแนนของการสอบ IELTS
หาข้อมูเพิ่มเติมได้ที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น