วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หน้าที่ของ PASSIVE ในภาษาอังกฤษ

หน้าที่ของ PASSIVE ในภาษาอังกฤษ


Passive (พาสซิฟวฺ) บ่งแสดงความหมายว่า ภาคประสานของประโยค (Subject) ได้รับการกระทำ ซึ่งแสดงโดยคำกริยา (Verb) ภายในประโยค นั่นคือ ภาคประธานเป็น receiver (ริซีฟเวอะ) หรือ “ผู้รับการกระทำ” นั่นเอง
โดยสรุป แล้ว Passive จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ verb to be + past participle ทั้งนี้ verb to be ที่กล่าวนี้ อาจจะเป็น is, am, are, was, were, (to) be, being, been แล้วแต่ว่าจะเข้าลักษณะรูปของ tense ใด
ตัวอย่าง
The boy was bitten by the dog.
เด็กผู้ชายถูกสุนัขกัด
Research will be presented by Pooja at the conference.
การวิจัยจะถูกนำเสนอโดนพูจาในการประชุม
รูป (Form)
Passive Verb อาจจะมีรูปดังนี้
1. Present Simple : is/am/are + past participle
2. Present Continuous : is/am/are + being + past participle
3. Present Perfect : have/has + been + past participle
4. Present Perfect Continuous : have/has + been + being + past participle
5. Past simple : was/were + past participle
6. Past Continuous : was/were + being + past participle
7. Past Perfect : had + been + past participle
8. Past Perfect Continuous ะ had + been + being + past participle
9. Future Simple : will/shall + be + past participle
OR is /am/ are + going + to + be + past participle
10. Future Continuous ะ will/shall + be + being + past participle
OR is/am/are + going + to + be + being + past participle
11. Future Perfect : will/shall + have + been + past participle
OR is/am/are + going + to + have + been + past participle
12. Future Perfect Continuous : will/shall + have + been + being
+ past participle
OR is/am/are + going + to + have + been + being + past participle
การใช้ (Use)
การสร้างประโยค Passive จากประโยค Active นั้นมีกติกาอยู่ว่า ประโยค Active จะต้องมีกรรมตรง (direct object : DO) ทั้งนี้เพื่อจะนำเอากรรมตรงมาวางไว้หน้าประโยค Passive
ตัวอย่าง
1                S                  ACTIVE        DO
A :     Heavy waves pounded the seacoast.
S                 PASSIVE            AGENT
P : The seacoast was pounded by heavy waves.
(NOTE: S = Subject; DO = Direct Object; A = Active ; P = Passive)
แปลความ A คลื่นลูกมหึมาถาโถมใส่ชายฝั่งทะเล
P ชายฝั่งทะเลถูกถาโถมใส่ด้วยคลื่นลูกมหึมา
ข้อสังเกต – ในกรณีของตัวอบ่างที่ 1 แสดงถึงการกระทำที่ได้เกิดขึ้นและจบไปแล้วในอดีต จึงใช้รูป Past Simple โดยมีการระบุผู้กระทำ (agent) คือ heavy waves
ตัวอย่าง
2               S                ACTIVE               DO
A : Workers has been installing burglar alarms.
S                  PASSIVE                      AGENT OMITED
P : Burglar alarms has been being installed.
แปลความ A คนงานทำการติดตั้งสัญญาณป้องกันขโมย
P สัญญาณป้องกันขโมยถูกติดตั้ง
ข้อสังเกต – ในกรณีของตัวอย่างที่ 2 แสดงถึงการดำเนินการติดตั้งสัญญาณป้องกันขโมยที่ได้มีการดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็กำลังดำเนินการอยู่ จึงใช้รูป Present Perfect Continuous ซึ่งได้มีการละ (omit) ผู้กระทำ (agent) ทั้งนี้เพราะไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเอ่ยถึง เนื่องจากไม่ได้ระบุเฉพาะว่าเป็นใคร เพียงแต่บอกว่าเป็นคนงาน (workers) เช่นนี้ถือว่ากว้างเกินไป จึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงผู้ทระทำ (agent omitted)
ดังนั้น การที่เราใช้รูปประโยคเป็น Passive ก็เพื่อจะมุ่งเน้นว่าบุคคลหรือสิ่งนั้นถูกกระทำ นั่นคือหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงผู้กระทำ (doer / agent ดูเออะ / เอเจ็นทฺ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผู้กระทำนั้นไม่เป็นที่รู้จักหรือไม่สำคัญใดๆ ซึ่งต่างไปจากประโยค Active ที่มุ่งเน้นผู้กระทำเป็นสำคัญทำให้งานเขียนหรือข้อความในประโยคนั้น มีลักษณะตรง (direct ไดเร็กทฺ) มีพลัง (forceful ฟอซฟุล) และแม่นยำ (concise คอนไซสฺ)
เพื่อให้ท่านผู้อ่าน แลเห็นลักษณะการเปลี่ยนรูปจากประโยค Active เป็นประโยค Passive อย่างชัดเจน ผู้เขียนจะขอกล่าวในรายละเอียดทีละ tense ดังนี้
1. Present Simple
A : My brother always chop logs.
พี่ชายของฉันตัดท่อนซุงประจำ
P : Logs are always chopped by my brother.
ท่อนซุงถูกตัดโดยพี่ชายเสมอ
2. Present Continuous
A : They are lifting weights.
พวกเขากำลังยกลูกตุ้มน้ำหนัก
P : Weights are being lifted.
ลูกตุ้มน้ำหนักกำลังถูกยก
3. Present Perfect
A : They have done wonders.
พวกเขาทำสิ่งมหัศจรรย์
P : Wonders have been done.
สิ่งมหัศจรรย์ถูกทำ
4. Present Perfect Continuous
A : He has been watching football.
เขานั่งชมฟุตบอล
P : Football has been being watched.
ฟุตบอลถูกชม
5. Past Simple
A : The tornado flattened houses.
พายุทอร์นาโดได้ทำลายบ้านราบหมด
P : Houses were flattened by the tornado.
บ้านถูกทำลายราบโดยพายุทอร์นาโด
6. Past Continuous
A : Helen was washing the dog.
เฮเลนกำลังอาบน้ำให้สุนัข
P : The dog was being washed.
สุนัขกำลังถูกอาบน้ำ
7. Past Perfect
A : I had seen pictures of the pyramids.
ผมได้ดูภาพพีระมิด
P : Pictures of the pyramids had been seen.
ภาพพีระมิดถูกดู
8. Past Perfect Continuous
A : He had been watching movies.
เขาชมภาพยนตร์
P : Movies had been being watched.
ภาพยนตร์ถูกชม
9. Future Simple
A : They will install burglar alarms.
พวกเขาจะติดตั้งสัญญาณกันขโมย
P : Burglar alarms will be installed.
สัญญาณกันขโมยจะถูกติดตั้ง
10. Future Continuous
A : They will be offering legal services.
พวกเขากำลังให้บริการกฎหมาย
P : Legal services will be being offered.
บริการด้านกฎหมายจะถูกให้
11. Future Perfect
A : They will have completed work by noon.
พวกเขาจะทำงานเสร็จก่อนเที่ยง
P : Work will have been completed by noon.
งานจะถูกทำเสร็จก่อนเที่ยง
12. Future Perfect Continuous
A : He will have been teaching English.
เขาจะกำลังสอนภาษาอังกฤษ
P : English will have been being taught.
ภาษาอังกฤษจะกำลังถูกสอน
อีกกรณีหนึ่งคือ การเขียนรายงานการทดลอง (experiment) ซึ่งเกิดจาก ประโยคคำสั่งที่เป็น Active และได้ละประธาน You (You omitted) สามารถเปลี่ยนเป็น Passive โดยดึง direct object (DO) ของ Active ขึ้นมาเป็น Subject แล้วตามด้วย be + past participle ซึ่ง verb to be นี้อาจจะเป็น is/am/ are (Present Simple) หรือ was/were (Past Simple) ก็ได้ แล้วแต่ว่าจะเขียนรายงานกระบวนการที่เป็นปัจจุบัน หรืออดีต
ตัวอย่าง
            DO
A : Put a spoon inside a jar. ใส่ช้อนเข้าไปในขวดโหล
P : A spoon is put inside ajar. ช้อนถูกใส่เข้าไปในขวดโหล
         S
การเปลี่ยนจาก Passive sentences มาเป็น Active sentences
หลักการเบื้องต้น ตามที่ได้ทราบแล้วนั้น คือ ในประโยค Passive นอกเหนือจากการดึงเอากรรม (object) ของประโยค Active ขึ้นมาเป็นประธาน (subject) ของประโยค Passive แล้ว รูปกริยาในประโยคPassive ยังมี be + past participle ด้วย ฉะนั้น เมื่อจะแปลงประโยค Passive เป็นประโยค Active จึงต้องดึงเอาส่วน agent noun (นามที่เป็นผู้กระทำ) ซึ่งสังเกตได้ง่ายคือ อยู่หลัง by … ขึ้นมาเป็นประธาน ส่วนรูปกริยาที่เป็นไปตาม tense ต่างๆ ตามที่แสดงในประโยค Passive
ตัวอย่าง
(1) S          PASSIVE     AGENT
P : Pearl Harbor was bombed by the Japanese.
S                 ACTIVE             DO
A : The Japanese bombed Pearl Harbor.
(NOTE: S = Subject ; AGENT ; doer ; DO = Direct Object)
แปลความ
P : อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ถูกถล่มด้วยระเบิดโดยกองทัพญี่ปุ่น
A : กองทัพญี่ปุ่นถล่มอ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ด้วยระเบิด
ข้อสังเกต
1. tense ยังคงเหมือนเดิมทั้งใน Passive และ Active คือ Past Simple
2. ใน Passive มีโครงสร้างทั้งกริยา be + past participle คือ was bombed
3. ใน Passive มี Agent noun หลัง by คือ by the Japanese
4. ใน Active ดึง Agent noun คือ The Japanese มาเป็น Subject
5. ใน Active รูปกริยาที่เป็น Past Simple (ช่อง 2) ไม่มี verb to be คือ was
6. ใน Active หลังกริยา มีกรรมรองรับ คือ Pearl Harbor
ตัวอย่าง
(2)  S                        PASSIVE        AGENT
P : The dog was being washed by a man when I arrived.
S          ACTIVE           DO
A : A man was washing the dog when I arrived.
แปลความ
P : สุนัขกำลังถูกอาบนํ้าโดยชายคนหนึ่ง เมื่อตอนที่ผมมาถึง
A : ชายคนหนึ่งกำลังอาบน้ำให้สุนัข เมื่อตอนที่ผมมาถึง
ข้อสังเกต
1. tense ยังคงเหมือนเดิมทั้งใน Passive และ Active คือ Past Continuous
2. ใน Passive มีโครงสร้างทั้งกริยา be + past participle คือ being washed
3. ใน Passive มี Agent noun หลัง by คือ a man
4. ใน Active ดึง Agent noun คือ A man มาเป็น Subject
5. ใน Active รูป be ในโครงสร้าง be + past participle คือ being ไม่มี
6. ใน Active ที่เป็น Past Continuous กริยาแท้เป็นรูป ing คือ washing
7. ใน Active หลังกริยาแท้ มีกรรมรองรับ คือ the dog
นอกจากเรื่องการเปลี่ยนประโยค Active เป็น Passive ตามรูปกาล (tense) ต่างๆ และการเขียนรายงานการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้ว Passive ยังเกี่ยวข้องกับ infinitive, gerund และ get ด้วย กล่าวคือ
1. ในรูป Passive infinitive ซึ่งประกอบด้วย infinitive ‘be’ + past participle จะวางอยู่หลังกริยาช่วย อาทิ must, can, will, shall, could, would, should, may, might และวางอยู่หลังวลี อาทิ going to, have/has to, want to, would like to, need to เป็นต้น
ตัวอย่าง
1.     A : You must lock this door. คุณจะต้องล็อกประตูนี้
P : This door must be locked. ประตูนี้จะต้องถูกล็อก
2.     A : They can’t do that job.พวกเขาไม่สามารถทำงานนั้นได้
P : That job can’t be done. งานนั้นไม่สามารถถูกทำได้
3.     A : They are going to interview him. พวกเขาจะสัมภาษณ์เขา P : He is going to be interviewed. เขาจะถูกสัมภาษณ์
4.    A : No one can help you. ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือคุณได้
P : You can’t be helped. คุณไม่สามารถถูกช่วยเหลือได้
2. ในกรณีที่แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำในอดีต (past event or action) โดยมี could have, must have, would have, might/may have, ought to have ซึ่งเป็น Perfect ในรูป Passive Infinitive (หรือ Passive Perfect Infinitive) จะประกอบด้วย been + past participle
ตัวอย่าง
1.     A : I should have told them about the dangers.
ผมควรจะได้บอกพวกเขาเกี่ยวกับอันตราย
P : They should have been told about the dangers.
พวกเขาควรจะได้ถูกบอกเกี่ยวกับอันตราย
2.    A : You must have rented this house.
คุณจะต้องเช่าบ้านหลังนี้
P : This house must have been rented.
บ้านหลังน็จะต้องถูกเช่า
3. ในกรณีของ Passive gerund จะประกอบด้วย being+past participle เมื่อแสดงความหมายในเชิงถูกกระทำ เรื่องดังกล่าวนี้เกี่ยวพันกับ Gerund ซึ่งหลังกริยาบางคำในภาษาอังกฤษ จะต้องตามด้วย Gerund หรือ รูปกริยา ing
ตัวอย่าง
1.    A : I don’t like people scolding me.
ดิฉันไม่ชอบให้ใครมาด่า
P : I don’t like being scolded.
ดิฉันไม่ชอบถูกด่า
2.     A : He remembers someone giving him the book.
เขาจำได้ว่ามีคนให้หนังสือแก่เขา
P : He remembers being given the book.
เขาจำได้ว่าได้ถูกให้หนังสือ
4. ในบางครั้ง อาจจะเคยพบ get/got + past participle แทนที่จะเป็น be + past participle ลักษณะของโครงสร้าง get/got + past participle นี้ ใช้เมื่อเราต้องการจะกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ (happen by accident) หรือเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ (happen unexpectedly)
ตัวอย่าง
When Susan ran across the road, she nearly got run over by a car.
เมื่อตอนที่ซูซานวิ่งข้ามถนน เธอเกือบถูกรถยนต์ชน
I was surprised that I didn’t get invited to the party.
ดิฉันรูสึกแปลกใจที่ไม่ได้รับเชิญมาร่วมงานเลี้ยง
Luckily, nobody got hurt in the accident.
โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ

การใช้ ALIKE AND LIKE ในความหมายที่คล้ายคลึงกัน

การใช้ ALIKE AND LIKE ในความหมายที่คล้ายคลึงกัน


alike ออกเสิยง เออะ-ไล้คฺ
like ออกเสิยง ไล้คฺ
*ในที่นี้ขอกล่าวถึงหลักการใช้ alike กับ like ในความหมายว่า “คล้ายคลึง” กันเท่านั้น
หลักการใช้
1. ใช้ alike ตามกฏว่า “Noun 1 and Noun2 … alike”
ตัวอย่าง
Jim and Jane look alike.
จิมและเจนมีหน้าตาคล้ายคลึงกัน
The two brothers are very much alike.
พี่น้อง 2 คน หน้าตาคล้ายคลึงกันมาก
2. ใช้ like ตามกฎว่า “Noun1 … like Noun2”
ตัวอย่าง
Jim looks like Jane.
จิมมีหน้าตาคล้ายคลึงกับเจน
Susie is like Paula.
ซูซี่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับพอล่า

การใช้ PREPOSITIONS OF TIME ในภาษาอังกฤษ

การใช้ PREPOSITIONS OF TIME ในภาษาอังกฤษ

Prepositions of time คือ คำบุพบทที่ใช้กับเวลา ที่ควรทราบได้แก่
กลุ่มที่ 1 : at, in, on
กลุ่มที่ 2 : during, for, while, since
กลุ่มที่ 3 : by, till/until, from..to, before, after
กลุ่มที่ 4 : on time, in time
กลุ่มที่ 1: at, in, on
1. ใช้ at ในกรณีต่อไปนี้
at + time เช่น
at 2 p.m.     at 6.30     at midnight     at noon (= at 12)
at lunchtime     at night     at midday     at this/that time
at dawn     at dusk
at + weekends เช่น at weekends     at the weekend
at + เทศกาล/วันหยุดนักขัตฤกษ์ เช่น at Christmas     at Easter
at + อายุ เช่น at the age of 14
ตัวอย่าง
A : Shall we go swimming at 3 p.m. ?
B : That’s fine.
ก – เราไปว่ายนํ้าด้วยกันตอนบ่าย 3 โมงดีไหม
ข – ตกลง
A : When could you swim ?
B : At the age of six.
ก – คุณว่ายน้ำเป็นเมื่อไร
ข – เมื่ออายุ 6 ปี
2. ใช้ in ในกรณีต่อไปนี้
in + ส่วนของวัน เช่น
in the morning     in the afternoon     in the evening
in + เดือน เช่น
in July     in March     in December     in August     in April
in + ปี เช่น
in 2000     in 1990     in 1968     in the year 2050     in 1948
in + ฤดูกาล เช่น
in (the) summer     in (the) winter     in (the) spring
in + ศตวรรษ เช่น
in the 20th century     in the 19th century
in + ช่วงเวลา เช่น
in Ramadan (ช่วงรอมฎอน ในศาสนาอิสลาม) in a week’s time
ตัวอย่าง
A : What will the world be like in the year 2050 ?
B : It will be overpopulated.
ก – โลกจะเป็นเช่นไรในปี ค.ศ. 2050
ข – ประชากรจะล้นโลก
A : What did Nostradamus say ?
B : He said World War III would break out in the 21st century.
ก – นอสตราดามุสกล่าวว่าอะไร
ข – เขากล่าวว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21
3. ใช้ on ในกรณีต่อไปนี้
on + วัน เช่น
on Monday     on Wednesday     on Christmas day
on + วัน + ส่วนของวัน เช่น
on Monday morning     on Wednesday night
on + วัน + วันที่ เช่น
on 4th June     on Monday, July 14     on December 1st
on + โอกาสพิเศษ เช่น  on my birthday     on that day
on + วันเฉลิมฉลอง เช่น
on New Year’s Day     on Christmas day
ตัวอย่าง
A : What will you be doing on New Year’s Day ?
B : We’ll be having a party.
ก – คุณจะทำอะไรในวันปีใหม่
ข – เราจะจัดงานเลี้ยง
A : Do you study on Saturday ?
B : No.
ก – คุณเรียนวันเสาร์หรือเปล่า
ข-ไม่
4. ไม่ใช้คำบุพบท at, on, in หน้าคำต่อไปนี้คือ next, last, every, all, each, some, any และ one
เช่น on next Monday X        next Monday /
in this evening X            this evening /
at every weekend X            every weekend /
in last summer X            last summer /
ตัวอย่าง
A :    What did you do last Friday ?
B :    We went to Rayong.
ก –    คุณทำอะไรเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
ข –    เราไประยอง
A :    What do you usually do every weekend ?
B :    I usually play tennis.
ก –    ปกติคุณทำอะไรทุกวันหยุดสุดสัปดาห์
ข –    ปกติผมเล่นเทนนิส
5. ไม่ใช้คำบุพบท at, on, in หน้าคำต่อไปนี้คือ tomorrow, yesterday เช่น
in tomorrow evening X
tomorrow evening /
at yesterday midnight X
yesterday midnight /
ตัวอย่าง
A : What are you doing tomorrow afternoon ?
B : I’m attending a business conference.
ก – คุณจะทำอะไรบ่ายวันพรุ่งนี้
ข – ผมจะเข้าประชุมธุรกิจ
A : What did you do yesterday evening ?
B : I went to the cinema.
ก – คุณทำอะไรเมื่อเย็นวานนี้
ข – ผมไปชมภาพยนตร์
6. ใช้ in เมื่อเอ่ยถึงช่วงเวลาในอนาคต เช่น in half an hour, in two weeks, in early April, in two months, in an hour
ตัวอย่าง
A : When will you finish your work ?
B : In an hour.
ก – คุณจะทำงานเสร็จเมื่อไร
ข – ในอีกหนึ่งชั่วโมง
We’re meeting in three weeks.
เราจะประชุมในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า
7. ใช้ in เพื่อบอกว่าในกิจกรรมหรือการกระทำนั้นๆ จะใช้เวลายาวนาน เท่าไร เช่น in an hour, in ten minutes, in a year, in ten years
ตัวอย่าง
I can walk from my home to the town center in only ten minutes. ผมสามารถเดินจากบ้านไปยังใจกลางเมืองได้โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที
We can drive from Chonburi to Bangkok in fifty minutes.
ราสามารถขับรถจากชลบุรีไปกรุงเทพโดยใช้เวลา 50 นาที
ข้อควรจำ ไม่ใช้ in, on, at กับช่วงเวลาที่มีคำว่า this, next, every, tomorrow, yesterday, last ประกอบด้วย
ตัวอย่าง
We are very busy this weekend.
เรายุ่งมากในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้
Do you work every Saturday?
คุณทำงานทุกวันเสาร์หรือเปล่า
He came to see me yesterday evening.
เขามาหาผมเมื่อเย็นวานนี้
They met me last Friday.
พวกเขาได้พบกันเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
กลุ่มที่ 2 : during, for, while, since
1. ใช้ in หรือ during เมื่อเอ่ยถึงช่วงเวลา ทั้งสองคำนี้มีความหมายอย่างเดียวกัน
ตัวอย่าง
We were in Paris during/in the summer.
เราอยู่ในปารีสในช่วงฤดูร้อน
It rained during/in the night.
ฝนตกในช่วงกลางคืน
2. ใช้ during เมื่อกล่าวถึงการกระทำหรือกิจกรรมที่ดำเนินไปโดยตลอด ในช่วงเวลาหนึ่ง
ตัวอย่าง
ผิด We were in Rome in the whole of the summer.
ถูก We were in Rome during the whole of the summer.
เราอยู่ที่โรมตลอดช่วงฤดูร้อน
ผิด I’ll be in Paris in the whole of June.
ถูก I’ll be in Paris during the whole of June.
ผมจะอยู่ปารีสตลอดเดือนมิถุนายน
3. ใช้ during ไม่ใช้ in เมื่อกล่าวถึงกิจกรรม อาทิ การเยี่ยมเยียน (a visit) การทานอาหาร (a meal)
ตัวอย่าง
ผิด We visited the Colosseum in our visit to Rome.
ถูก We visited the Colosseum during our visit to Rome.
เราได้ไปชมโคลอสเซียมในช่วงที่เราไปเยือนกรุงโรม
ผิด In lunch I explained my plans.
ถูก During lunch I explained my plans.
ในช่วงที่ทานอาหารเที่ยง ผมได้อธิบายถึงแผนการของผม
4. ใช้ for เพื่อกล่าวถึงระยะเวลาที่ใช้ไปในการทำกิจกรรมหนึ่งๆ ว่า ยาวนานเท่าไร เช่น for two hours, for three weeks, for five years
ตัวอย่าง
It has been raining for two days.
ฝนตกมาตลอดเป็นเวลา 2 วันแล้ว
We were in Rome for ten days.
เราอยู่ที่กรุงโรมเป็นเวลา 10 วัน
5. สำหรับ while มีความหมายเช่นเดียวกับ during แต่ต่างกันตรงโครงสร้างคือ
during + noun            while+ clause
คำว่า clause (คลอส) หมายถึง ข้อความที่มีโครงสร้างเช่นเดียวกับ sentence (เซ็นเท้นซฺ) หรือ “ประโยค” นั่นคือประกอบด้วย “ภาคประธาน + ภาคกริยา + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย (ถ้ามี)”
ตัวอย่าง
I met Susan during my holidays.
I met Susan while I was on holiday.
ผมพบกับซูซานในช่วงที่ผมไปพักผ่อนวันหยุด
It started to rain during their picnic.
It started to rain while they were having a picnic.
ฝนได้ตกลงมาในช่วงที่พวกเขากำลังปิกนิก
6. ใช้ since (ซิ้นซฺ) ในความหมายว่า “ตั้งแต่” เมื่อเรากล่าวถึงจุดเริ่ม ต้นของเหตุการณ์หรือการกระทำ (starting point of the period) หากนำมาเทียบเคียงกับ for จะพบว่า for ใช้เพื่อบ่งบอกความยาวของช่วงเวลา (length of the period) และพบว่าตั้ง 2 คำมักจะถูกนำมาใช้ใน Present perfect tense
ตัวอย่าง
I have been waiting for two hours.
ผมรอมาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว
I have been waiting since 1 o’clock.
ผมรอมาตั้งแต่บ่ายโมง
He’s known her for six months.
เขาได้รู้จักเธอมาเป็นเวลา 6 เตอนแล้ว
He’s known her since April.
เขาได้รู้จักกับเธอมาตั้งแต่เดือนเมษายน
กลุ่มที่ 3 : by, till/until, from..to, before, after
1. ใช้ until (อันทิล) หรือ till (ทิล) ในความหมายว่า “จนกระทั่ง, จนถึง” (up to the time when)
ตัวอย่าง
I’ll stay here until/till Sunday.
ผมจะอยู่ที่นี่จนถึงวันอาทิตย์
He’ll be out until/till 11 o’clock.
เขาจะออกไปข้างนอกจนถึงเวลา 11.00 น.
2. ใช้ by (บาย) ในความหมายว่า “ไม่เกินเวลาที่เอ่ยถึงนั้น” (not later than)
ตัวอย่าง
I’ll have to leave here by Sunday.
ผมจะต้องออกจากที่นี่ไม่เกินวันอาทิตย์
He’ll be home by 11 o’clock.
เขาจะมาถึงบ้านไม่เกิน 11.00 น.
3. ใช้ from…to/until/till ในความหมายว่า “จากหรือตั้งแต่ (วัน, เวลา, เดือน, ปี, …) …จนถึง (วัน, เวลา, เดือน, ปี,…)”
ตัวอย่าง
The shop opens from 8.30 to 5.30 every day.
ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 8.30 น. จนถึงบ่าย 5.30 น.
I’ll be on holiday from Monday until/till Friday next week.
ผมจะไปพักผ่อนวันหยุดตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันศุกร์สัปดาห์หน้า
4. ใช้ before (บิฟอ) ในความหมายว่า “ก่อน” (earlier than that time or event)
ตัวอย่าง
We arrived home just before 2 o’clock.
เรามาถึงบ้านก่อนบ่าย 2 โมง
Can I see you before you go ?
ผมมาพบคุณก่อนที่คุณจะไปได้ไหม
5. ใช้ after (อัฟเทอะ) ในความหมายว่า “หลังจาก” (later than that time or event)
ตัวอย่าง
He was ill after eating the meal.
เขาป่วยหลังจากรับประทานอาหารเข้าไป
After dinner we went for a walk in the park,
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จเราได้ออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ
กลุ่มที่ 4  on time, in time
1. ใช้ on time (ออน ไทมฺ) ในความหมายว่า “ตรงเวลา” (at exactly the right time)
ตัวอย่าง
The 10 o’clock train arrived on time.
รถไฟเที่ยว 10 นาฬิกา มาถึงตรงเวลา
You must attend class on time next time.
ครั้งหน้าคุณจะต้องเข้าชั้นเรียนให้ตรงเวลา
2. ใช้ in time (อิน ไทม) ในความหมายว่า “ทันเวลาพอดี” (early enough)
ตัวอย่าง
We arrived at the station in time to catch the train.
เรามาถึงสถานีทันเวลาพอดีที่จะขึ้นรถไฟ
I won’t be home in time for dinner today.
วันนี้ผมคงจะกลับไปไม่ทันทานอาหารเย็นได้ทันเวลา

รูปประโยคที่ใช้ NO, NOT, NO MORE, NOT ANY MORE, NO LONGER, AND NOT ANY LONGER

รูปประโยคที่ใช้ NO, NOT, NO MORE, NOT ANY MORE, NO LONGER, AND NOT ANY LONGER


NO and NOT
ในการสร้างรูปประโยคเป็นแบบปฏิเสธ (negative) โดยปกติเรามักจะใช้คำว่า not
ตัวอย่าง
The students went on strike, but not the teachers.
พวกนักเรียนพากันเดินขบวน ยกเว้นครู
I can see you tomorrow, but not on Friday.
ผมพบกับคุณพรุ่งนี้ได้ ยกเว้นวันศุกร์
“Are you happy?” – “Not really.”
คุณมีความสุขไหม – ไม่มีความสุขเลย
ใช้ no + noun ในความหมาย not a หรือ not any
ตัวอย่าง
No teachers went on strike.
ไม่มีครูคนใดที่เดินขบวนประท้วง
No cigarette is sold.
ไม่มีบุหรี่ขายเลย
I’ve got no Thursdays free this term.
ภาคเรียนนี้ผมไม่ว่างวันพฤหัสบดี
หมายเหตุ นอกจากหลักการใช้ดังกล่าวมาแล้ว    เรายังใช้ no กับ signposts (ป้ายประกาศ) ได้แก่
NO SMOKING                        =    ห้ามสูบบุหรี่
NO PARKING                         =    ห้ามจอดรถ
NO RUBBISH DUMPING  =    ห้ามเทขยะ
NO MORE, NOT ANY MORE, NO LONGER, and NOT ANY LONGER
หลักการใช้
1. ใช้ no more เมื่อพูดถึงปริมาณ (quantity) หรือระดับ (degree)
ตัวอย่าง
There’s no more bread.
ไม่มีขนมปังอีกแล้ว
He’s no more a genius than I am.
เขาไม่มีความเป็นอัจฉริยะมากกว่าฉัน
2. ในภาษาอังกฤษยุคใหม่ (modem English) เราไม่ใช้ no more กับ เวลา (time) แต่จะใช้ not… any more, no longer, หรือ not…any longer ในความหมาย once but not now (ครั้งหนึ่งแต่ไม่ใช่ตอนนี้)
ตัวอย่าง
Anthony doesn’t live here any more.
เดี๋ยวนี้แอนโทนี่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว
I no longer support the Conservative Party.
เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้สนับสนุนพรรคอนุรักษ์นิยมอีกแล้ว

หลักการใช้ THERE IS/ARE ในภาษาอังกฤษ

หลักการใช้ THERE IS/ARE ในภาษาอังกฤษ


There is/are แปลว่า “มี” มีหลักการใช้ดังนี้
There is หรือเขียนแบบย่อคือ There’s + singular countable noun
(นามนับได้เอกพจน์) ส่วน There are หรือเขียนแบบย่อคือ There’re
plural countable noun (นามนับได้พหูพจน์)
ตัวอย่าง
There is a cat on the floor.     There’s a bottle of soda on the table.
มีแมวตัวหนึ่งอยู่บนพน        มีโซดาขวดหนึ่งอยู่บนโต๊ะ
There is หรือ There’s some + uncountable noun (นามนับไม่ได้)
ตัวอย่าง
There is some oil in the bottle.     There’s some lemonade in the can.
มีน้ำมันอยู่บ้างในขวด            มีนํ้ามะนาวอยู่บ้างในกระป๋อง
There are หรือเขียนแบบย่อคือ There’re + plural countable noun
(นามนับได้พหูพจน์)    และ There are / ’re some + plural countable noun
ตัวอย่าง
There are some glasses on the table.
มีแก้วอยู่บ้างบนโต๊ะ
There’re some cartons of milk.
มีนมบางกล่อง
ลักษณะดังกล่าวข้างต้นเป็นแบบประโยคบอกเล่า แต่หากต้องการจะเปลี่ยนให้เป็นประโยคคำถาม (question) ให้สลับตำแหน่งของคำ There is / are ดังนี้
Is there……………?     หรือ Are there……………./
A : Is there some rice in the bowl?
B : Yes, there is.
มีข้าวอยู่ในชามบ้างไหม
มีค่ะ
A : Is there some tea in the cup?
B : No, there isn’t.
มีน้ำชาอยู่ในถ้วยบ้างไหม
ไม่มีค่ะ
A : Are there some people at the beach?
B : Yes, there are.
มีคนอยู่ที่ชายหาดบ้างไหม
มีค่ะ
A : Is there some water in the hose?
B : No, there isn’t.  There’s some petrol.
มีน้ำอยู่ในสายยางบ้างไหม
ไม่มีค่ะ มีน้ำมันค่ะ



หลักการใช้ ALRIGHT, ALL RIGHT,ALTERNATE AND ALTERNATIVE

หลักการใช้ ALRIGHT, ALL RIGHT,ALTERNATE AND ALTERNATIVE


alright สะกด a-l-r-i-g-h-t เป็นคำที่ผิด ไม่ควรจะนำมาใช้ แต่ปัจจุบันนี้ เจ้าของภาษาที่ไม่ค่อยพิถีพิถันนักก็ถือว่าถูก แต่ผู้รู้ไม่ควรจะนำมาใช้
all right (ออล-ไรท์) adv., adj. มีหลายความหมายอาทิ
1. หมายถึง safe; unharmed แปลว่า ปลอดภัย, ไม่ประสบอันตรายใดๆ
ตัวอย่าง
Is the driver all right after the accident?
คนขับปลอดภัยหรือเปล่าหลังจากที่ประสบอุบัติเหตุ
2. หมายถึง satisfactory ; acceptable แปลว่า เป็นที่น่าฬอใจ, เป็นที่ยอนรับ
ตัวอย่าง
His work is all right.
งานของเขาเป็นที่น่าพอใจ
3. หมายถึง certainly ; beyond doubt แปลว่า แน่นอน, ไม่ต้องสงสัยเลย
ตัวอย่าง
He’s ill all right : he has a very serious disease.
เขาป่วยจริงๆ เขาป่วยเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก
ALTERNATE and ALTERNATIVE
alternate (ออลเทอะเนท) เมื่อทำทน้าที่ verb หมายถึง to follow by turns แปลว่า สลับกัน
ตัวอย่าง
The scenery alternates between rocky hills and sandy plains.
ภูมิประเทศมีเขาเป็นหินและที่ราบเป็นทรายสลับกันไป
The flood and ebb tides alternate with each other.
น้ำขึ้นและลงสลับกันไป
และ alternate เมื่อทำหน้าที่ noun หมายถึง a substitute or second choice แปลว่า ตัวแทน, ตัวเลือกถัดไป
ตัวอย่าง
He served as an alternate to the delegate selected.
เขาได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนในคณะผู้แทน
In deciphering this telegram, you must read every alternate word.
ถ้าจะถอดรหัสโทรเลขฉบับนี้ คุณจะต้องอ่านคำเว้นคำ
alternative (ออลเทอะเนทีฟวฺ) n. หมายถึง a statement or offer of two things, both equally preferable, but only one which may be accepted แปลว่า ตัวเลือก, ทางเลือก
ตัวอย่าง
You can choose between two alternatives, namely, the firing party or life imprisonment.
แกมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือการถูกยิงเป้าหรือถูกจำคุกตลอดชีวิต
Since there was no alternative, I had to accept the position.
เนื่องจากไม่มีทางเลือกใด ผมจึงต้องยอมรับตำแหน่งนั้น
If this ultimatum is not complied with, the alternative is war.
ถ้าหากไม่ทำตามคำขาดนี้ ทางเลือกก็คือการทำสงคราม

กฎเกณฑ์การใช้ LET’S, WHY DON’T & HOW ABOUT ในภาษาอังกฤษ

กฎเกณฑ์การใช้ LET’S, WHY DON’T & HOW ABOUT ในภาษาอังกฤษ


Let’s (เล็ทสฺ), Why don’t (วาย ด้อนทฺ) และ How about (ฮาว เออะเบ้าทฺ) เป็นถ้อยคำที่ใช้เพื่อให้การเสนอแนะ (suggestions ซักเจสเชิ่นสฺ) ดังมีกฎเกณฑ์การใช้ดังนี้
1. Let’s + verb1
ในการพูดหรือเขียนเพื่อให้การเสนอแนะ นักเรียนสามารถใช้คำว่า Let’s ตามด้วยคำกริยาช่อง 1 (สำหรับ Let’s = Let us)
ตัวอย่าง
A : It’s hot today. Let’s go to the beach.
B : Okay. Good idea.
ก – วันนี้อากาศร้อน เราไปเที่ยวชายทะเลกันเถอะ
ข – ตกลง เป็นความคิคที่ดี
A : What shall we do today?
B : Let’s play golf.
ก – วันนี้เราควรจะทำอะไรดี
ข – เราไปเล่นกอล์ฟกันเถอะ
2. Why don’t + we/you/+ verbl … ?
นอกจากจะใช้คำว่า Let’s เพื่อการเสนอแนะได้แล้ว เรายังสามารถใช้ Why don’t we/you/… ? แทนได้ด้วย
ตัวอย่าง
A : It’s hot today. Why don’t we go to the beach ?
B : Okay. Good idea.
ก – วันนี้อากาศร้อน เราไปเที่ยวชายทะเลกันเถอะ
ข – ตกลง เป็นความคิดที่ดี
A : What shall we do today ?
B : Why don’t we play golf ?
ก – วันนี้เราควรจะทำอะไรดี
ข – เราไปเล่นกอล์ฟกันเถอะ
A : I’m tired.
B : Why don’t you take a nap ?
ก – ผมรู้สึกเหนื่อย
ข – คุณควรจะงีบหลับสักหน่อย
3. How about + verbing/noun … ?
นอกจากจะสามารถใช้ถ้อยคำดังกล่าวมาแล้ว ยังสามารถใช้ How about + verbing/noun … ? เพื่อการเสนอแนะได้เช่นเดียวกัน
ตัวอย่าง
A : It’s hot today. How about going to the beach ?
B : Okay. Good idea.
ก – วันนี้อากาศร้อน ไปเที่ยวทะเลกันเถอะ
ข – ตกลง เป็นความคิดที่ดี
A : I want to have a drink. I’m very thirsty.
B : How about some coffee ?
ก – ฉันต้องการดื่มน้ำฉันกระหายน้ำมาก
ข – ดื่มกาแฟนะ